
โรคปริทันต์คืออะไร
โรคปริทันต์ หรือในภาษาชาวบ้านเรียกว่า โรครำมะนาด จะมีความรุนแรงมากกว่า โรคเหงือกอักเสบ (มีการอักเสบแค่เหงือก) แต่ โรคปริทันต์ เป็นโรคที่มีการอักเสบของอวัยวะที่อยู่รอบ ๆ ตัวฟัน อันประกอบด้วย 1.เหงือก 2.เอ็นยึดปริทันต์ 3.เคลือบรากฟัน และ4.กระดูกเบ้าฟัน ซึ่งถ้าหากไม่ได้รับการรักษา อวัยวะต่าง ๆ ที่กล่าวไปจะถูกทำลายไปอย่างช้า ๆ จนอาจต้องสูญเสียฟันไปหรือต้องถอนฟันในที่สุด
ความแตกต่างโรคปริทันต์อักเสบและโรคเหงือกอักเสบ
โรคเหงือกอักเสบ เกิดจากคราบของจุลินทรีย์ที่สะสมในบริเวณเหงือก ซึ่งจะมีการอักเสบแค่เหงือก (บวม แดง มีหนอง)
โรคปริทันต์ จะเป็นมากกว่าโรคเหงือก เพราะมีการอักเสบของอวัยวะที่อยู่รอบ ๆ ตัวฟัน อันประกอบด้วย เหงือก ,เอ็นยึดปริทันต์ ,เคลือบรากฟัน และกระดูกเบ้าฟัน
สาเหตุของโรคปริทันต์
สาเหตุหลักของการเกิดโรคนี้คือ
- เชื้อแบคทีเรียในคราบจุลินทรีย์(ที่มากับอาหารที่เราทาน) เหล่านี้จะสร้างสารพิษมาย่อยเหงือกและกระดูกเบ้าฟันของเรา
- สาเหตุอื่นที่ทำให้โรคลุกลามมากขึ้น เช่น โรคเบาหวาน การสูบบุหรี่ การตั้งครรภ์ ภูมิต้านทานต่ำ ขาดสารอาหารบางชนิด
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคปริทันต์อักเสบ
- การสูบบุหรี่
- โรคเบาหวาน
- การไม่รักษาสุขภาพช่องปาก
- ความเครียด
- กรรมพันธุ์
- ฟันเก ฟันซ้อน
- ผู้ที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์
- ภูมิต้านทานต่ำ
- ขาดสารอาหารบางชนิด
สัญญาณเตือนของโรคปริทันต์
โรคปริทันต์เป็นโรคที่ค่อย ๆ เกิดขึ้น แต่เราสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ หรือ สัญญาณเตือนก่อนเข้าพบทันตแพทย์ ดังนี้
- เหงือกมีสีแดงผิดปกติ ปกติแล้วเหงือกจะเป็นสีชมพูอ่อน แต่หากเกิดการอักเสบเหงือกจะมีสีแดงที่สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน
- เหงือกบวม มีลักษณะบวมร่วมกับการปวดเหงือกร่วมด้วย
- เลือดออกเมื่อแปรงฟัน รู้สึกมีเลือดออกตลอดเวลา หรือตอนบ้วนน้ำหลังแปรงฟัน แต่หากรู้สึกว่ามีเลือดออกตลอดเวลาแสดงว่าเหงือกกำลังมีปัญหารุนแรง
- มีกลิ่นปาก การสะสมของเชื้อแบคทีเรียเป็นจำนวนมากทำให้เหงือกอักเสบและมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ตามมาด้วย
- เหงือกร่น จนฟันมีขนาดยาวขึ้น และส่งผลให้ฟันโยก เพราะเหงือกไม่สามารถทำหน้าที่คลุมรากฟันและยึดฟันแต่ละซี่ได้ปกติได้
- ฟันโยก แปลว่า มีการทำลายของอวัยวะรอบปริทันต์ ทำให้ฟันไม่มีอะไรคอยsupport ฟันจึงโยก
- มีอาการเสียวฟัน เพราะเหงือกร่น ทำให้เคลือบรากฟันเผยผึ่ง จึงเกิดอาการเสียวฟัน (โดยปกติเหงือกจะเป็นชั้้น barrier คอยปกคลุม)
อาการของโรคปริทันต์
ระยะของโรคปริทันต์
- ระยะแรก : เหงือกบวม เหงือกอักเสบ ที่เรียกกันว่าโรคเหงือกอักเสบ
มีการอักเสบแค่เหงือก (ปวด บวม แดง บริเวณเหงือก) แต่ยังไม่มีการทำลายกระดูกรองรับฟัน
- ระยะที่สอง : โรคปริทันต์อักเสบระยะต้น
ระยะที่เริ่มมีการทำลายของกระดูกรองรับรากฟัน ไม่เกิน 1 ใน 3 ซี่ฟัน
- ระยะที่สาม : โรคปริทันต์อักเสบระยะกลาง
ระยะที่มีการทำลายกระดูกรองรับรากฟัน จาก 2 ใน 3 ของซี่ฟัน แต่ยังไม่ถึงปลายราก
- ระยะที่สี่ : โรคปริทันต์อักเสบระยะปลาย
ระยะที่การทำลายกระดูกรองรับรากฟัน ทั้งซี่ฟันจนถึงปลายรากทำให้เกิดฝีปลายรากมีอาการปวดร่วมด้วย ทำให้เหงือกร่น และอาจต้องถอนฟัน
การวินิจฉัยโรคปริทันต์
- ซักประวัติโรคประจำตัวและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน คนไข้สูบบุหรี่ คนไข้ที่มีน้ำลายน้อย (dry mouth)
- ตรวจสุขภาพช่องปาก การประเมินคราบจุลิยทรีย์ คราบหินปูน ประเมินเหงือกมีอาการอักเสบกี่ตำแหน่ง มีเลือดออกที่เหงือกง่ายมั้ย
- การตรวจประเมินร่องลึกปริทันต์ เพื่อประเมินปริมาณกระดูกรอบอวัยวะปริทันต์ เช่น ถ้าร่องลึกมากกว่า 3 มิลลิเมตร จะเริ่มมีการทำลายกระดูกรองรับรากฟัน
- การถ่ายภาพ x-ray เพื่อประเมินสภาพกระดูกรองรับรากฟันที่เหลืออยู่
การรักษาโรคปริทันต์
การรักษาโรคปริทันต์แบบไม่ต้องผ่าตัด
ขูดหินปูน (Scaling) เป็นการขูดคราบสกปรกที่อยู่ตามร่องเหงือกและใต้เหงือก (ลึกลงไปประมาณ 3 มิลลิเมตร) โดยจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที
การเกลารากฟัน (root planning) การทำให้ผิวรากฟันเรียบเพื่อให้เนื้อเยื่อเหงือกสามารถกลับมายึดติดแน่นติดกับผิวฟันได้เหมือนเดิม ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องทำหลายครั้ง และควรทำโดยทันตแพทย์เฉพาะทางโรคเหงือก
หลังรักษาเสร็จแล้วประมาณ 4-6 สัปดาห์ ทันตแพทย์จะเรียกกลับมาดุอาการอีกครั้งว่าหายดีหรือไม่ ถ้ายังมีร่องลึกปริทันต์เหลืออยู่หรือมีการละลายของกระดูกไปมาก อาจจำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดเหงือก (ศัลย์ปริทันต์ : Periodontal Surgery) ร่วมด้วย
การรักษาโรคปริทันต์ด้วยการผ่าตัด
การผ่าตัด จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยให้ความร่วมมือทำความสะอาดฟันอย่างสม่ำเสมอ หรือขูดหินปูนไปแล้วแต่ยังไม่หาย แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัดเพื่อสร้างเส้นใยเหงือก เอ็นยึด และกระดูกเบ้าฟันที่แข็งแรง
เช่น การเปิดเหงือกเพื่อการเกลารากฟัน หรือที่เรียกว่า (ศัลย์ปริทันต์Periodontal Surgery)
ค่ารักษาโรคปริทันต์
- ขูดหินปูน 900-1,800
- เกลารากฟัน 1,500-2,000 ต่อ quadrant
โรคปริทันต์รักษาที่ไหนดี
คำถามที่พบบ่อย
โรคปริทันต์รักษาหายไหม
ดังที่กล่าวแล้วข้างต้นว่า โรคนี้มีการทำลายทั้งเนื้อเยื่อและกระดูก ร่างกายไม่สามารถสร้างกลับมาเหมือนเดิมได้ รวมทั้งสาเหตุของโรคกลับมาใหม่ทุกวัน ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เป็นแล้วเป็นตลอดชีวิตไม่มีวันหายขาด การขูดหินน้ำลายและเกลารากฟันไม่ใช่วิธีการรักษาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการทำความสะอาดฟันโดยทันตแพทย์
การรักษาและป้องกันโรคที่ยั่งยืนเพื่อไม่ให้โรคกลับมาเป็นใหม่ได้เร็วคือการดูแลทำความสะอาดฟันให้ดีอย่างเคร่งครัดทุกวันเพื่อคงสภาพของเหงือกและกระดูกที่เหลืออยู่ให้มีสุขภาพที่ดีตลอดไป
การแปรงฟันให้สะอาดในวันพรุ่งนี้ไม่สามารถมาทดแทนการถูกทำลายในวันนี้ได้ เพราะฉะนั้นจึงควรหันมาดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้และควรพบทันตแพทย์ทุก ๖ เดือนเพื่อรับคำแนะนำและการดูแลอย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นอาจจะสายเกินแก้และมาเสียใจในภายหลัง
โรคปริทันต์รักษานานไหม
ไม่นาน แต่เป็นโรคที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องตลอด กล่าวคือ ต้องมีการติดตามผลตลอดทุกๆ 3-6 เดือน เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค รวมถึงการดูแลการทำความสะอาดช่องปากของคนไข้
โรคปริทันต์รักษาด้วยตัวเองได้ไหม
ไม่ได้ค่ะ ต้องรักษาโดยทันตแพทย์ แต่สามารถการป้องกันโรคได้คือ การดูแลตัวเองที่บ้าน แปรงฟันให้สะอาด ใช้อุปกรณ์ในการทำความสะอาดที่เหมาะสมกับลักษณะช่องปากเพิ่มเติมจากแปรงสีฟัน เพราะแปรงสีฟันเพียงอย่างเดียว มีข้อจำกัดไม่สามารถเข้าถึงซอกฟัน หรือร่องเหงือกได้ จึงอาจพิจารณาใช้ไหมขัดฟัน หรือแปรงซอกฟันเพิ่มเติม ขูดหินปูนสม่ำเสมอ ตามช่วงเวลาที่ทันตแพทย์แนะนำใช้แปรงสีฟัน ไหมขัดฟัน
ข้อสรุป ‘โรคปริทันต์’
การทำลายของโรคปริทันต์มักเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพออายุมากจึงมักพบฟันโยกเป็นหนอง แล้วต้องมาถอนฟันและใส่ฟันปลอม เราควรมาพบทันตแพทย์ เพื่อประเมินอาการของโรคตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลตัวเองและป้องกันฟันให้อยู่กับเราได้นานที่สุด